วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2557

Mr. Market


Mr. Market หรือนายตลาด นั้น คือ ตัวแทน ของ ดัชนี หรือ ราคาหุ้น ที่ เบนจามิน เกรแฮม บิดา แห่ง Value Investment ใช้เรียกแทน ความผันผวน ของ ดัชนี หรือ ราคา เนื่องจากลักษณะ ของ นายตลาด นั้น เป็นคนที่มีอารมณ์ ไม่แน่นอน บางวัน อารมณ์ดีก็ดีอย่างสุดใจหาย พร้อมขาย หุ้น ให้ นักลงทุน ในราคา แสนแพง PE 20-30เท่า++   ส่วนบางวัน อารมณ์เศร้า ก็ เศร้า อย่างน่าตกใจ ก็พร้อม ขายหุ้นในราคาลด อย่างน่าใจหาย เช่นกัน


สรุป นายตลาด นั้น เป็น คนที่วิกลจริต ซึ่งในเมื่อ Game หุ้น ราคาตลาด นั้น นายตลาด เป็น คนกำหนด ราคา ที่จะขายให้ นักลงทุน ดังนั้น เบนจามิน เกรแฮม จึง สอนไว้ว่า เราควรหาประโยชน์จาก นายตลาด ให้มากที่สุด ซึ่ง ล่าสุด วันที่ 3-1-2557 นั้น นายตลาดนั้น ได้ มีอารมณ์ เศร้ามอง อย่างน่าใจหาย ทำให้ SET Index ตกลงมาซื้อขาย แถวๆ  1224 จุด คิด Forward PE ตลาด จาก EPS ตลาด 2557 Forecast Bloomberg ที่ 112  อยู่ที่  10.98 เท่า และ ราคาหุ้น ในตลาด หลายตัว ได้ปรับลด จน มี yield เกิน 6%-7%  เช่น ตย tvo lst advance intuch dcc ticon ait ai jas  etc แล้ว ซึ่ง ถือ ว่า เริ่ม ไม่แพงในการลงทุน แล้ว  ดังนั้นผมคิดว่านักลงทุน ควรใช้ โอกาสที่นายตลาด เศร้ามอง นั้น เฟ้น หาหุ้นในการลงทุน เพราะนี่คือ โอกาส ที่จะ ต่อ ราคา หรือ ปรับ Port  และ เมื่อดัชนี กลับไปซื้อขาย ที่ PE ระดับ สูงกว่า15X หรือ ตลาดให้ผลตอบแทนน้อยกว่า  100/15 = 6.6%  ซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ของนายตลาด นั้น เราค่อยหาโอกาส ในการ ทยอย ขายหุ้น ที่เริ่มแพง ออกได้  และ ถือเงินสด บางส่วน หากเราชื่อใน หลัก Value Investment ที่ว่า ราคาจะกลับเข้า มูลค่าที่แท้จริง เสมอ  ซึ่งมูลค่าที่แท้จริง นั้น ของ แต่ละท่านก็แตกต่างตาม ผลตอบแทนที่คาดหวัง อย่างไรก็ตามการตกลงของ ดัชนี หุ้น จาก 1650 จุด ซึ่ง Peak เมื่อกลางปี 2556 นั่นเป็นเรื่อง ปกติ ตาม กลไกล ตลาด ที่จะปรับลดลง แต่ในระยาว แล้ว ราคาหุ้น จะทำ new high เสมอ ลองไป ดู หุ้น สมัย ปี 2547 หลังการปรับตัวลง ของ SET จาก 795 จุด เหลือ 550 จุดกว่า เมื่อต้นปี 2547  หุ้นใน SET 50 สมัยนั้น ผ่านมา 10 ปี ราคาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2-3 เท่า หรือ หลัง Subprime Crisis ปี 2551 ราคาหุ้นหลายตัวขึ้นมากกว่า 5 เท่าจาก จุดต่ำสุด ในเมื่อ เราจะลงทุนในตลาด อีก นาน เราจึงไม่สามารถลีกเลี่ยงการตกลง ของตลาด หุ้นได้

 สิ่งที่เหมือนกันอย่าง 1 นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายๆท่าน แม้ Style การลงทุนแตกต่างกัน เช่น  Peter Lynch, Bill Miller, Warren Buffet ,George Soros, Mark Mobius etc นั้นล้วน หาผลประโยชน์ จาก นายตลาด ทั้งนั้น  ดังนั้นเราจึงไม่ควรให้นายตลาด ปั่นหัว เราจากความกลัวของเค้า และทำให้เรา ขายหุ้น ของเราที่เราวิเคราะห์แล้วว่าดี ในราคาถูก ตามอารมณ์เค้า แต่ กลับควรใช้ โอกาสนี้ในการ เลือกหุ้น ต่อราคา และ ซื้อเมื่อยาม ที่ นายตลาดเศร้าหมองและขายหุ้นในราคา Grand Sale เช่นนี้

หมายเหตุ : 1 หุ้นที่เขียนมาเพื่อยกตัวอย่างเท่านั้นนะครับ ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อชี้นำให้ ซื้อ ถือ ขาย หลักทรัพย์ ดังกล่าวใดๆทั้ง
สิ้น                2  ให้ Check Earning ของ หุ้นเสมอ เพราะที่ ตัวเลข แค่ ยกตัวอย่างเท่านั้น หาก Earning  หุ้น ที่เราลงทุน ลด หรือ เพิ่ม ก็ส่ง ผลให้ Dividend Yield เพิ่ม หรือ ลด ตาม ด้วย
                  3  Bloomberge  Consensus นั้น  Analysts มีโอกาส เปลี่ยนแปลง ได้ ขึ้น กับ GDP  Economicและ ปัจจัย ใน ประเทศ

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พันธุกรรมทางความคิด


คุณจะเลือกยาสีไหน 

หากเลือกสีนํ้าเงิน  คุณเลือกที่จะเชื่่อในกรอบความคิดเดิมๆใช้ชีวิตตามความเชื่อที่พ่อแม่ถ่ายทอดมาให้ มากกว่าใช้ ปัญญา และลืมความจริงทุกอย่าง 

หากเลือกสีแดง ก็จะตื่นมารับรู้ความจริง มีความคิดอิสระแบบมีหลักการ ใช้ชีวิตด้วยปัญญา มากกว่าความเชื่อ คิดนอกกรอบเดิมๆ 


จากการได้คุยกับ คน มาจำนวนมาก และ หลากเชื้อชาติ สิ่ง 1 ที่ ผมรู้สึกได้คือ คนไทยนั้นมี กรอบความคิดที่หลากหลายและสูงมาก อาจจะสูงกว่าหลายชาติตะวันตก ซึ่ง กรอบความคิดนั้นถูกปลูกฝัง โดย สภาพแวดล้อม ขนบธรรมเนียม ทัศนคติส่วนบุคคล ไม่ได้แปลว่า ถูกต้องหรือข้อเท็จจริงนะคร๊าบบบ กรอบความคิดนั้นส่วนใหญ่มักเป็นผลเสียมากกว่าผลดีเพราะมันหยุดยั้งจินตนาการและพัฒนาการของเรา ฝรั่งซึ่งเป็นชาติที่กรอบความคิดน้อยกว่าเราจึงสามารถคิดนอกกรอบ ได้ง่ายกว่า และ เจริญกว่าเรานั่นเอง 

เมื่อผมนึกถึง เรื่องSelfish Gene หรือ ยีนเห็นแก่ตัว ก็คิดถึง ทฤษฎีวิวัฒนาการ เพราะมันบอกถึงความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต จากแนวคิด สิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมที่สุดเท่านั้นที่อยู่รอด(survival the fittest ) และดํารง เผ่าพันธุ์ของตนไว้และทําให้เกิด การคัดเลือกตามธรรมชาติเกิดความแตกต่าง ไปจากสปีชีส์เดิมมากขึ้นจนเกิดสปีชีส์ใหม่ สิ่งมีชีวิตที่จะอยู่รอด ไม่จำเป็นต้องเป็น สิ่งมีชีวิต ที่แข็งแรงที่สุด แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมมากที่สุด ในกรณียีราฟคอยาวนั้น อธิบายตามทฤษฎีของดาร์วินได้ว่า ยีราฟมี บรรพบุรุษ ที่คอสั้นแต่เกิดมี variation ที่มีคอยาวขึ้น ซึ่งสามารถหาอาหาร พวกใบไม้ได้ดี กว่าตัวพวกคอสั้นและถ่ายทอดลักษณะ คอยาวไปให้ลูกหลาน ได้ ส่วนพวกคอสั้นหาอาหารได้ไม่ดีหรือแย่งอาหาร สู้พวกคอยาวไม่ได้ในที่สุดก็จะตายไป จึงทําให้ ในปัจจุบันมีแต่ยีราฟคอยาวเท่านั้น เพราะบ่งบอกว่า ลักษณะทางพันธุกรรมที่ไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมจะถูกกำจัด หรือสูญหายไป   ทฤษฎีวิวัฒนาการของนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ ๆ ได้แก่

1. ทฤษฏีของลามาร์ค (Jean Lamarck)
2. ทฤษฎีของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin)
3. ทฤษฏีของดาร์วิน และ วอลเลช (Alfred Russel Wallace)

ในบรรดานี้ ผมชอบของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน มากที่สุด  ดาร์วินได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งวิชาวิวัฒนาการ ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของดาร์วินดังนี้คือ ความแปรผันที่เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตใด ๆ ก็ตามย่อมมีส่วนช่วยให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีวิตได้ ในสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ส่วนความแปรผันที่ไม่เหมาะสม ทําให้สิ่งมีชีวิตถูกกําจัดไปด้วย เหตุนี้เมื่อเวลา ล่วงเลยไปนานขึ้นลักษณะที่เหมาะสมก็จะสะสมไปนานขึ้น ลักษณะที่เหมาะสม ก็จะสะสมไปนานขึ้น เกิดสิ่งมีชีวิตแตกต่าง จากเดิมมากมาย จนในที่สุดก็เกิดสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่

สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่อยู่รอด โดย การ ถ่ายทอดพันธุกรรมหรือ Gene นั่นเอง ซึ่งมาจาก ทั้ง พ่อและแม่ จึงทำให้เกิดเป็นชีวิตใหม่ ซึ่ง จะมีการ Copy มาจากต้นฉบับ ดังนั้นร้อยละ 90% ยังคง รูปร่าง เผ่าพันธุ์เดิม นอกจาก การถ่ายทอดทางกายภาพ พ่อและแม่ มักจะถ่ายทอด ความคิด มายัง บุตร รวมถึง กรอบความคิด ซึ่ง ความคิด กรอบความคิดที่ ถูก ถ่ายทอดมาจาก พ่อและแม่ นั้น ย่อมเกิดจากประสบการณ์ ของ พ่อและแม่ ซึ่ง ประสบการณ์ก่อให้เกิดความเชื่อ ซึ่งความเชื่อไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงหรือ Fact นั่นเอง  จึงได้มีคำไทยว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น  หากลูกไม้นั้น เชื่อฟัง โดยไม่ไตร่ตรองสิ่งที่ถูกสอนเพราะอาจแยกไม่ออกไม่รู้อันไหนจริงเท็จ กรอปความคิด ก็ จะเหมือนที่พ่อแม่ ตี กรอบ มา ให้ แต่ หาก  บุตร มีความรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง หรือเติบโต มาในสภาพแวดล้อมที่ต่างจากพ่อแม่ ตามหลักดัดแปลงเข้ากับสิ่งแวดล้อมตามความคิดของ ดาร์วิน ก็จะเกิดการผ่าเหล่าทางความคิด คือ การต่อต้านความเชื่อ เดิม ซึ่งแน่นอนมักจะมี ปัญหา กับ พ่อแม่ เพราะ ความคิดไม่ลงลอยกัน ก็จะถูกตีตราว่า เป็น เด็กดื้อ แต่ความจริงอาจเป็น เด็กฉลาด ก็ได้

การถ่ายทอดทางความคิดแบบอาศัยประสบการณ์และความเชื่อ โดยที่ไม่ได้มีการพิสูจน์นั้นผมคิดว่าเป็นอันตราย เนื่องจาก เหตุการณ์ ปัจจุบัน กับสมัยพ่อแม่ นั้นอาจต่างกัน และ หากถ่ายทอดไปแล้ว จะเป็นการยากที่จะทำการลืมหรือUninstall กรอบความคิดนั้น และจะทำให้ ใจเกิด ปฏิเสธ ความคิดใหม่ อื่นๆ ทำให้เรามี สมอทางความคิด ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจ ในการลงทุน เพราะถูกตีกรอปความคิด ไปเรียบร้อยแล้วจะไม่ยอมรับความเชื่อใหม่เพราะขัดกับความเชื่อที่ตัวเองได้รับมา ตัวอย่าง ครั้นที่ Peter Lynch ไปบรรยาย ที่ Wharton Business School เคย มี นักศึกษา ป.โท Finance ถาม Peter Lynch ว่า ทำยังไง ถึงจะลงทุนหุ้นเก่งเหมือนคุณ   Peter Lynch ตอบว่า ให้ลืมสิ่งที่เรียนมาซะ (เพราะนักศึกษาคนนั้นเชื่อใน Efficient Theory ที่บอกว่า คุณไม่สามารถเอาชนะตลาดหุ้นได้เพราะตลาดมีประสิทธิภาพ ซึ่ง Theory นี้โด่งดังในยุคนั้นอย่างมาก) อย่างไรก็ตามที่สำคัญ วิธีที่ดีกว่าคือ  ควร มี หลักการ ผลลัพธ์ และ หลักฐาน ของวิธีการที่จะได้รับการถ่ายทอด ซึ่งสมัยนี้ หาได้จาก Google  เราแค่ Search ในสิ่งที่เราอยากรู้และ ดู Source ว่ามาจาก แหล่งที่น่าเชื่อถือได้หรือไม่ ซึ่งช่วยได้เยอะ  

ตัวอย่าง ในโลกการลงทุนนั้น พ่อแม่ที่เป็นนักเก็งกำไร ส่วนใหญ่ก็จะถ่ายทอดมุมมองประสบการณ์แบบนักเก็งกำไรให้ลูก ถ้าลูกได้พ่อแม่เป็น นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ มีหลักการ Money Management บริหารPortfolio และความเสี่ยง ก็โชคดีไป แต่ หากได้ มาเพราะโชคและคิดว่าเป็นฝีมือแล้ว มาถ่ายถอดละก็ นั่นก็อาจเป็น หายนะได้  เพราะ Right For The Wrong Reasons จนกลายเป็นกรอบความคิด


อย่างไรก็ตาม การถ่ายทอดพันธุกรรมทางความคิดที่ดี นั้น ตัวอย่าง สมัยที่ผมเคยเรียน ดนตรี นั้น  อาจารย์ มักจะถามว่า นักดนตรี ท่านไหน เป็น ดาวในดวงใจเรา ให้เรา หามาสัก 2-3 คน  แล้วศึกษาแนวคิดวิธีการของเค้าในการสร้างสรรค์งานไม่ใช่แต่เล่นเหมือนแต่ต้องศึกษาหลักคิดว่าทำไมลูกSolo นี้ถึงใช้กับ Chord นี้  รวมถึงที่มาของแนวดนตรี เพื่อนำไปต่อยอดเป็นตัวของตัวเอง สำหรับ การลงทุนผมว่าหลักการเรียนถ่ายทอดความคิดนี้ก็นำมาใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน หรือ นักเก็งกำไร ก็ไม่ได้ผิดคนเรามันเชี่ยวผิดกันทางใครทางมัน แต่ จากที่ผมสังเกต นักลงทุนหรือเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ ผมพบว่า คนเหล่านั้น ได้รับการถ่ายทอด ตรรกะ หรือ เรียนรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง จาก Guru ที่ตัวเองชื่นชอบ ซึ่งเป็น Model ที่เราจะพยายามลอกเลียนแบบ แนวคิด และ ต่อยอดในแบบของเรา เพราะท่านเหล่านี้ เช่น Lynch, Buffet, Soros, Livermore  ดังนั้น ทุกขั้นตอนในการตัดสินใจ จึงตัดสินใจอย่างเป็นระบบและมีหลักการ ไม่ใช่คิดเองเออเองหรือ คิดตามใจฉันในแบบที่ใจฉันอยากให้เป็นโดยไม่ดูความเป็นจริง และ พันธุกรรมทางความคิดที่ถูกต้อง นั้นผมพบว่า จะเห็นผลชัดเมื่อ เกิดเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามคาดที่ทำให้สภาพความเป็นอยู่นั้นยากลำบากกว่าปกติ เพราะเป็นการทดสอบของหลักคิดและการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมแบบโหดร้าย ตัวอย่าง เช่น Crisis ต่างๆ เช่น Crisis ปี 2540 หรือ  Subprime คนที่ได้รับการถ่ายทอดที่ถูกต้อง จะ มี ตรรกะในการจัดการอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็น ซื้อ ถือ หรือ ขาย  positionของหุ้นแต่ละตัว มักถูกวางแผนไว้ก่อนแล้ว ซึ่งผมคิดว่า ตรรกะที่ถูกต้องนั้นก็เหมือน ยีน ที่ดี ที่สามารถ ดัดแปลงเข้ากับสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย และ อยู่รอดได้ ดังนั้น กรอบความคิดที่ถูกต้องนั้น ควรจะพิสูจน์ มาแล้วว่าใช้ได้มานาน และ ผ่านมาหลายCrisis  แม้กรรมพันธุ์ ทางร่างกายเราจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่ ข่าวดีคือ กรรมพันธุ์ทางความคิดเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
และ หากเราเลือก ความคิดที่ถูกต้องซึ่งพิสูจน์ว่าอยู่รอดมานานแล้ว แม้จะขัดแย้งกับความคิดพ่อแม่ เราก็ต้องเลือกความคิดที่ถูก เพราะมันหมายถึงโอกาสของความอยู่รอดในรุ่นเราและรุ่นต่อไป  


วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

เมล็ดพันธุ์แห่งความมั่งคั่ง



      เมล็ดพันธุ์แห่งความมั่งคั่ง

 

การจะปลูกต้นไม้เพื่อเก็บเกี่ยวดอกผล เราจำเป็นต้องมีเมล็ดพันธุ์ ซึ่งหากเปรียบก็คือเงินทุนก้อนแรก หลายคนมีความฝันอยากทำธุรกิจส่วนตัว หรือ เป็นนักลงทุน แต่ไม่มีทุน  ปัญหาอยู่ที่ว่าอาชีพที่ทำนั้นเป็นอาชีพที่ไม่ทำเงิน ซึ่งส่วนใหญ่ จบอะไรมาก็จะทำตามที่เรียนมา  คำถามคือ จำเป็นไหมต้องทำงานสายที่ตัวเองจบมา   ส่วนตัวผมว่าไม่จำเป็นครับ เพราะหากสายที่ตัวเองจบมารายได้น้อย    ก็ยากที่เราจะมีเงินออมไปลงทุนได้ครับ  เพราะ สิ่งที่สำคัญคือ เงินทุนและความรู้ความชำนาญ ในธุรกิจ ที่เราจะทำครับ ส่วนขนาดของเงินทุน ก็แล้วแต่ ลักษณะของธุรกิจ หรือ ความจำเป็นที่แต่ละคนจะต้องใช้ซึ่งจะไม่ขอ เอ่ยถึงนะครับ  เพราะมันกว้างมาก     แต่ ที่แน่นอน นะครับ  ผมคิดว่าการ มีเงินทุนเพื่อไปลงทุนในสิ่งที่เรารักนั้น ควร เริ่ม จาก งานที่สามารถทำเงินได้มาก ครับ แต่ หลายคนติดข้อจำกัดที่ว่า งานที่ได้เงินมากนั้น ส่วนใหญ่เป็นงาน ที่ไม่แน่นอน หรือ อายุงานสั้น  ใช่ครับ แต่เราไม่ได้กะจะทำไป ตลอดนี่ครับ เราเพียงต้องการสะสมเงินทุนให้ได้ในระดับ ที่เราสามารถนำไปต่อเงินได้   หากพ่อแม่ไม่ได้ร่ำรวยประทานทุน มาให้เลย จบ ใหม่ เงินเดือน start ก็ 1.5-3 หมืนครับ วุฒิ ป. ตรีนะครับ ซึ่ง ค่าครองชีพ สมัยนี้สูง แถมมีภาษีสังคมอีก  ดังนั้น หากจบมาแล้ว มีโอกาส ทำสายอาชีพ ที่รายได้สูง ก็แนะนำให้ทำครับ(ไม่สนับสนุนให้ทำงานผิดกฎหมายแม้รายได้จะมากนะครับ) แต่ เราจะทำอย่างมีเป้าหมาย โดย ไม่ทำเพื่อไปซื้อ ของฟุ่มเฟือยหรือ หนี้สินนะครับ เราจะเก็บเงินซื้อ Asset ทรัพย์สิน หรือสร้างธุรกิจครับ ทำให้เราหาได้เราจะประหยัดและคุมค่าใช้จ่าย ครับ เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องมีวินัยในการ ออมเงินครับ

 ส่วน  อาชืพ  ที่ผมเห็นว่า ทำเงินได้เยอะ ขอ ยกตัวอย่างนะครับ  เท่าที่ ทราบนะครับ สจ๊วตและแอร์  นายหน้าอสังหาริมทรัพย์  Bartender โรงแรม  ล่ามแปลเอกสาร  นักร้อง นักดนตรี ศิลปิน อาจารย์ สอนดนตรี  สอนกีฬา นักบิน ขายตรงต่างๆ  ขายประกัน   รับจ้างแต่งสวน   อื่นๆอีกมากมาย  ซึ่ง อาชีพ ที่กล่าว ถึงไม่คำนึงถึง วุฒิ ที่เราจบมาครับ  เปิดกว้างให้ใครก็ได้มีสิทธิ์ทำ และรายได้ไม่น้อยกว่า 4-5 หมื่นเดือนครับ และหากเราประหยัดก็น่าเหลือเก็บ 2-3 หมื่นต่อเดือน ก็น่าจะหาเงิน  1 ล้านบาท ได้ภายใน 4 ปีครับ หากตั้งใจจริง ซึ่งอย่างน้อยน่าจะเพียงพอทำธุรกิจขนาดเล็กหรือลงทุนในหุ้นได้อย่างเห็นผลบ้างครับ  อีกอย่างของพวกนี้ฝึกกันได้ โดยเรา เลือกทำในสิ่งที่เราถนัดครับ จะทำให้เรามีความได้เปรียบคนอื่น  ซึ่งเราต้องลงทุนในการพัฒนาทักษะสำหรับอาชีพที่เราจะทำสัก  2-3 ปี ซึ่งผมคิดว่าทำได้ระหว่างศึกษา ปริญญาตรี อยู่คือ ฝึก Skills พวกนี้ครับ เอาให้ระดับพอหาเงินได้ก็พอครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นระดับเทพ  แต่เราต้องแลกกับเวลาไปสนุกกับเพื่อนๆนะครับ ต้องบริหารจัดการเอง หรือ หากเป็นคนทำงาน ก็เวลาส่วนตัวครับ  เพราะหากเราจบมาทำงานประจำเพราะบางคนมีค่าใช้จ่ายบังคับ ไม่สามารถทำงานเหล่านี้เต็มเวลาได้     ก็ทำงานที่กล่าว นี้เสริมได้ เสาร์ หรือ อาทิตย์ ครับ เราก็ค่อยสะสมเงินทุนไป  เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ระหว่างสะสมทุน เราก็อ่านหนังสือหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจที่เราจะทำหรือถ้าอยากเป็นนักลงทุน ก็อ่านตำราการลงทุนแนวพื้นฐาน แต่จะเหนื่อยหน่อย เพราะทำหลายอย่างพร้อมกันแต่จำเป็นเพราะมันอยู่กับเราตลอดชีวิตครับ  พอเรามีเงินทุนพอ เราก็มีความรู้พอดี ครับ เรากำลังจะย้ายจากฝั่ง ซ้าย ของเงิน 4 ด้านไปยังฝั่งขวา  ตามที่ Robert ผู้เขียน Rich Dad Poor Dad กล่าวไว้ครับ การย้ายนั้นต้องมีทักษะและความรู้ครับ เงินเป็นแค่ เมล็ดพันธ์และปัจจัย 1 เท่านั้นเพราะ ตรรกะของ ขวา กับ ซ้าย ต่างกันมากครับ ตัวอย่าง ด้านขวา ต้องเรียนรู้ตลอดเวลาในขณะที่กล้าลงทุนโดยการบริหารความเสี่ยง ขณะคนฝั่งซ้ายนั้น มีแต่ความกลัวเป็นหลักครับ


จาก E คือ ลูกจ้าง สามารถข้ามไป B หรือ I ครับ เพราะสามารถทำงานประจำไปควบคู่เริ่มธุรกิจเล็กๆ หรือ ลงทุน ไปได้ เมื่อรายได้จาก ธุรกิจ หรือ เงินปันผล เทียบเท่ารายได้จากเงินเดือนและมากกว่ารายจ่ายประจำก็สามารถ ออกมาทำเต็มเวลาได้ครับ สำหรับคนที่อยากเล่นหุ้นเป็นอาชีพแนะนำ ว่าสามารถหารายได้พิเศษควบคู่การเล่นหุ้นไปได้ครับ รายได้ 2 ทางหรือหลายทางย่อมปลอดภัยกว่าทางเดียวครับ สุภาษิตจีนเรียกว่า  “เก้าอี้ 3 ขา”  ท้ายสุด ครับสำหรับ ผู้ที่สนใจเพิ่มเติม ลองหา พ่อรวยสอนลูกเล่ม 2 มาอ่านเรื่อง เงิน 4 ด้านครับ



วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เฮียไพโรจน์คุยเรื่องหุ้น




นํามาจาก Pantip.com นะครับ ไว้อ่านขําๆช่วงหุ้นตกกันครับจะได้ยิ้มกันบ้าง ถ้าไม่ชัดก็ Click ที่รูป ครับ จะมีแว่นขยาย หรือ Save As มาดูที่เครื่องครับ ชัดแน่ ครับ พี่น้อง


วิธีหา Growth จาก ROE

ผม Update ไม่ค่อยเป็นเวลานะครับ ถ้ายุ่งๆก็ไม่มีเวลา ช่วงนี้ตลาดมีปัจจัยลบรอบด้าน ทั้งจากเรื่องการเมืองในประเทศและ หนี้ Greece ทำให้ Set Index อยู่แถวๆ 1013 จุด ปรับตัวลงเป็นระยะๆ จนหลุด EMA 5 10 Weeks ไป 2 Weeks แล้ว ใครขาดทุน หรือ ขาดทุนกำไรก็ขออย่าคิดมากครับ เรายังต้องเจอ สภาพตลาด ผันผวนแบบนี้ ตลอดตราบเท่าที่เรายังอยู่ใน ตลาดหุ้นครับ

ผมเองก็เป็นนักลงทุนรายย่อยๆไม่ใช่เซียนอะไรแต่ผมมีมุมมองที่ว่าช่วง ที่เราหาหุ้น ดีๆลงทุนไม่ได้นั้นเราควรที่จะหาความรู้ให้ได้มากๆ เพราะเมื่อฝีมือเราดี วิสัยทัศน์ เรามองโอกาศออก เงินทองจะตามมาเองครับ อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ วินัยในการลงทุนครับ เล่นหุ้นทุกวิธีทำเงินได้ ขอให้มีวินัย ใครตั้งใจจะCut Loss ก็ควร Cut เมื่อถึงจุดที่กำหนด หรือ เราวิเคราะห์พลาด เพราะถือว่าเราซื้อประกันความเสี่ยงครับในเมื่อเรายังมี เงิน อยู่ซึ่งเปรียบเสมือนเรามี กระสุนอยู่พร้อมจะยิงเมื่อโอกาส มา

ยิ่งหุ้นขาลงหรือ ปรับฐานนั้นเป็นโอกาสให้ เห้นหุ้นที่ มี Margin of Safety มากขึ้น และ Margin of Safety ที่ดีที่สุดสำหรับผม นอกจาก ส่วนต่าง ราคากับ มูลค่าที่แท้จริง แล้วคือ Growth ของ กิจการครับ วิธีการ หา Growth ก็มีหลายวิธีครับ วันนี้จะเสนอ วิธี พื้นๆง่ายๆ ไว้ช่วย หา Growth คือ หาจาก ROE ครับ

Return On Equity หรือ ROE นั้น สูตร คือ กำไรสุทธิ/ ส่วนของผู้ถือหุ้น X 100 ครับจะบอกถึงความสามารถในการนำเงินลงทุนของเจ้าของว่านำเงินไปลงทุน ทำธุรกิจแล้วได้ผลกำไรกลับมาเท่าไหร่

เช่น กำไรสุทธิ 20 ล้าน ส่วนของ ผู้ถือหุ้น 100 ล้าน ก็ ได้ 20% ครับ ที่นี้เรานำมา Growth ได้เมื่อเราทราบ อัตราการจ่าย เงินปันผลครับ เช่น บริษัท จ่าย ปันผล 40% ของ กำไรสุทธิคือ Payout Ratio 40% นั่นเอง หมายความว่ากำไรสะสมอีก 60% ที่จะนำไปขยายกิจการต่อ

เราก็นำ ROE คือ 20% มา คูณ 60% Growth = 20 X0.6= 12% ครับ

หมายความว่า ถ้า CEO แจ้งคุยออกสือ TV รายการ หรือ หนังสือพิมพ์ ว่า กำไรจะโต 30% หรือ 40% เราก็พอใช้ตรรกะดูความเป็นไปได้ๆแล้วครับ ว่าที่CEO พูดนั้นมีความเป็นจริงแค่ ไหน ครับ เพราะจาก ผลตอบแทนที่เป็นอยู่หลายๆปี แล้วนำกำไรสะสม ไปต่อยอด ด้วยความสามารถ ROE แค่นั้นมันจะทำให้กำไรสะสมงอกขึ้นมาอีกเท่าไหร่ซึ่งก็คือ Growth Rate นั่นเอง ครับ

วิธีนี้จริงๆเหมาะกับบริษัท ที่มี ROE สม่ำเสมอครับ พอคาดการณ์ค่าเฉลี่ย ROE ได้ครับ

หมายเหตุ วิธี หาGrowth จาก ROE นั้นไม่ได้คำนึงถึงการกู้เงินมาลงทุนนะครับเพราะบางบริษัทใช้Leverage ก็อาจสร้างผลตอบแทนได้สูงตามที่เค้าบอกได้ครับ

หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนๆนะครับ